ผู้สนับสนุน

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เรื่องหลอน กระบะเงา: การเดินทางไปรับรถที่มาพร้อมกับ 'ของแถม' ที่มองไม่เห็น

ผมชื่อตั้ม ทำงานเป็นเซลส์รับซื้อรถมือสองอยู่ที่เต็นท์ใหญ่ในกรุงเทพฯ งานของผมคือการตามไปปิดการซื้อขายรถที่ลูกค้าติดต่อเข้ามา วันนั้นเป็นคิวของรถ Isuzu D-Max ปี 2018 คันหนึ่ง ลูกค้าแจ้งว่าอยู่แถบต่างจังหวัด และต้องการขายด่วนในราคาสูงกว่าปกติเล็กน้อย

"พี่ตั้มคะ เจ้าของรถเร่งมากเลยค่ะ เขาบอกให้เราไปรับรถที่บ้านคืนนี้เลยได้ไหม" น้องแอดมินแจ้งผมตอนบ่ายสี่โมง ผมดูพิกัด...เป็นบ้านสวนเก่าๆ ที่ค่อนข้างเปลี่ยวไกลจากตัวเมืองใหญ่

"บอกเขาว่าผมจะถึงราวๆ สองทุ่ม ขอให้รอหน่อยนะ" ผมตอบ

การเดินทางค่อนข้างง่าย ยกเว้นช่วงสุดท้ายที่ถนนลาดยางกลายเป็นทางลูกรังมืดๆ ไม่มีไฟถนนเลยสักดวง เมื่อผมไปถึง ก็พบกับบ้านไม้เก่าๆ หลังใหญ่ มีรถกระบะสีดำจอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างบ้าน ชายวัยกลางคนเดินออกมาต้อนรับด้วยใบหน้าเรียบเฉย

"สวัสดีครับคุณตั้ม เข้ามาดูรถก่อนเลยครับ"

รถกระบะคันนั้นสภาพดีมาก ภายในสะอาดสะอ้านตามที่เขาอ้าง ผมตรวจสอบเอกสาร เล่มทะเบียน และรายละเอียดต่างๆ ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

"รถสวยมากครับคุณ... (นามสมมติ) แต่ทำไมถึงเร่งขายขนาดนี้ล่ะครับ" ผมถามอย่างสุภาพ

เขาไม่ได้มองหน้าผม แต่กลับจ้องไปที่เบาะหลังของรถกระบะ "มัน...ขับไปไหนมาไหนคนเดียวแล้วไม่สบายใจครับ ผมรับประกันว่ารถไม่มีปัญหาแน่นอน ถ้าตกลงราคานี้ ผมขอรับเงินสดแล้วโอนลอยให้เลยนะครับ"

เรทราคาที่เขาเสนอนั้นกำไรดีมาก ผมเลยไม่ลังเลที่จะปิดดีล ผมจ่ายเงินสดตามที่ตกลง เขารีบเซ็นเอกสารโอนลอยให้ผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปโดยไม่ได้แม้แต่จะหันกลับมามองรถของเขาอีก

ผมสตาร์ทรถ D-Max คันใหม่เพื่อเดินทางกลับ ทันทีที่รถเคลื่อนตัวออกจากเขตบ้าน ผมก็รู้สึกถึงความ เย็นวาบ เข้ามาในห้องโดยสาร ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้เปิดแอร์เลย

ผมขับรถออกมาได้ประมาณ 20 นาที บนถนนที่มืดสนิท จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองจากด้านหลัง ผมมองผ่านกระจกมองหลัง... ว่างเปล่า มีเพียงความมืดและแสงไฟหน้ารถ

แต่ความรู้สึกนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนมี เงา บางอย่างทอดอยู่บนเบาะหลัง...ไม่สิ มันคือ เงาของคน ที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงเบาะหลังฝั่งซ้าย ผมพยายามเพ่งมอง แต่เมื่อใดที่แสงไฟจากรถสวนทางสาดเข้ามาในรถ เงาก็จะหายไปทันที

ผมเริ่มเหงื่อแตก พยายามเปิดวิทยุให้เสียงดัง แต่แล้ว... เสียงกระซิบแหบๆ ก็ลอยมาจากด้านหลัง...

"ไม่ต้องเปิดหรอก...เงียบดีแล้ว"

ผมตกใจจนแทบเหยียบเบรก แต่ก็พยายามตั้งสติและคิดว่าผมคงจะหูฝาดไปเอง ผมบีบมือที่พวงมาลัยแน่น แล้วกดคันเร่งเพื่อขับให้เร็วขึ้น

ทันใดนั้นเอง... ผมรู้สึกได้ว่ามี มือเย็นเฉียบ วางลงบนบ่าซ้ายของผมผ่านเบาะนั่ง! มันหนักและเย็นยะเยือกจนขนลุกไปทั้งตัว ผมสะบัดตัวอย่างแรงเพื่อให้หลุดจากสัมผัสนั้น แล้วรีบปัดมือไปเปิดไฟห้องโดยสารทันที!

ไฟสว่างวาบ... เบาะหลัง ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ ไม่มีเงา ไม่มีอะไรเลย แต่ผมสาบานได้ว่า รอยมือ นั้นยังติดอยู่ที่ไหล่ของผม มันยังเย็นและชาไปหมด

ผมมองกลับไปที่เบาะหลังอีกครั้ง เมื่อแสงไฟส่องถึง...ผมเห็น รอยน้ำตาจางๆ เปื้อนอยู่ตรงกระจกด้านหลังที่มุมเบาะซ้าย มันดูเหมือนรอยที่ถูกปาดออกไปอย่างรีบร้อน

ผมขับรถด้วยความเร็วเกือบ 140 กม./ชม. ไม่สนใจกฎจราจรใดๆ จนกระทั่งเห็นแสงไฟของปั๊มน้ำมันแรกในตัวเมือง ผมรีบเลี้ยวเข้าปั๊ม จอดรถ แล้วลงไปยืนนอกรถสูดอากาศหายใจเข้าเต็มปอด

เมื่อตั้งสติได้ ผมโทรหาเจ้าของเต็นท์ทันทีเพื่อรายงานว่าได้รถแล้ว แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เจอ ผมแค่บอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อรถกระบะคันนั้นถูกนำไปจอดที่เต็นท์... ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้นายฟัง นายมองหน้าผมอย่างจริงจังก่อนจะถอนหายใจยาว

"ตั้ม...คันนี้มันถูกส่งมาจาก สุสานรถ ที่พึ่งเกิดเรื่องเมื่อเดือนก่อน รถคันนี้แหละ...ที่เจอศพผู้หญิงคนนึงถูกฆ่าตายแล้วยัดไว้ในถุงดำที่เบาะหลัง...ก่อนที่ตำรวจจะมาเจอไม่นานนี้เอง"

ผมยืนนิ่ง มองกลับไปที่รถกระบะสีดำคันนั้น... ในแสงแดดจ้าของยามเช้า มันก็แค่รถมือสองธรรมดาคันหนึ่ง... ยกเว้น รอยน้ำตาจางๆ ที่มุมกระจกด้านในเบาะหลังฝั่งซ้าย ที่ตอนนี้มันดูชัดเจนกว่าเมื่อคืนมากนัก