ผู้สนับสนุน

พัฒนาการเด็กเล็ก

ผู้เขียนเปิดบล็อกนี้ เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงดูบุตรอย่างถูกวิธี สำหรับคุณแม่ที่มีความห่วงใยที่มีต่อคุณลูกและต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดต่อลูกรัก บทความภายในบล็อกเกิดจากการรวบรวมเนื้อหาสาระที่ดีมารวมกันไว้ที่เดี่ยวกัน

พัฒนาการเด็กเล็ก

ผู้เขียนเปิดบล็อกนี้ เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงดูบุตรอย่างถูกวิธี สำหรับคุณแม่ที่มีความห่วงใยที่มีต่อคุณลูกและต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดต่อลูกรัก บทความภายในบล็อกเกิดจากการรวบรวมเนื้อหาสาระที่ดีมารวมกันไว้ที่เดี่ยวกัน

พัฒนาการเด็กเล็ก

ผู้เขียนเปิดบล็อกนี้ เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงดูบุตรอย่างถูกวิธี สำหรับคุณแม่ที่มีความห่วงใยที่มีต่อคุณลูกและต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดต่อลูกรัก บทความภายในบล็อกเกิดจากการรวบรวมเนื้อหาสาระที่ดีมารวมกันไว้ที่เดี่ยวกัน

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

5 คุณสมบัติที่ต้องมีก่อนเริ่มธุรกิจขายส่ง

  ห่ากใครที่คิดจะทำธุรกิจกิจค้าส่ง เล็ก กลางใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นขายส่งผลไม้ ขายส่งรองท้อง ขายส่งเครื่องแต่งกาย ขายส่งเครื่องสำอางค์ ขายส่งเสื้อผ้าเด็ก และอยากประสบความสำเร็จ นอกจากจะต้องมีเงินลงทุน มีประสบการณ์ มีความสามารถ และจังหวะในการลงทุนที่ดีแล้ว ยังจะต้องถามตัวเองดูก่อนว่ามีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่หรือยัง ซึ่งหากยังไม่มี ก็จำเป็นต้องหมั่นฝึกฝนตัวเองให้เป็นนิสัย
      1. หมั่นไปหาลูกค้าอยู่เสมอ จากการศึกษาผู้ค้าส่งที่ประสบความสำเร็จหลายราย สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันคือการออกไปหาผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และผู้จัดจำหน่ายอยู่สม่ำเสมอเพื่อที่จะแนะนำตัวเอง ทำความรู้จัก บอกเล่าวิสัยทัศน์ พวกเขาไม่อายที่จะออกไปติดต่อผู้คนด้วยตนเองและยินดีที่จะแชร์ความคิดและมุมมองของตัวเองต่อผู้อื่นเสมอ

      2. มีมุมมองที่ไม่เหมือนใคร อย่ากลัวที่จะแตกต่างโดยเฉพาะในจำนวนคนมากมายที่ดำเนินธุรกิจนี้อยู่ ถ้าอยากจะอยู่รอดคุณจะต้องมีความแตกต่างด้วยการค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อนำเสนอสินค้าที่มีความพิเศษไม่เหมือนใครหรืออย่างน้อยก็ควรจะมีธีมหรือเซ็ตของสินค้าเพื่อสร้างความน่าสนใจและความโดดเด่นให้กับสินค้าที่คุณเลือกมาขาย

     3.สร้างความเคลื่อนไหวให้ตลาด ผู้ค้าส่งที่ดีจะไม่นั่งอยู่เฉยๆ น่าจอคอมพิวเตอร์รอดูว่าสินค้าอะไรได้รับความนิยมแล้วหามาขายอย่างเดียว แต่พวกเขาจะลุยไปข้างหน้าคัดเลือกสินค้าที่คิดว่าดีและเหมาะสมที่จำนำเสนอต่อผู้บริโภคจำนวนมาก พูดง่ายๆ ว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้อย่าทำตามคนอื่นและอย่าเอาแต่รอว่าเทรนด์สินค้าจะเป็นแบบไหนเพราะคุณเองก็มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดไม่แพ้ใคร

     4. อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง หลายคนกลัวความเปลี่ยนแปลงในการทำธุรกิจจนไม่กล้าทำอะไรเลยได้แต่ทำในสิ่งที่เคยทำมาตลอดทุกวัน แต่ถ้าอยากเจริญเติบโตในธุรกิจคุณต้องกล้าที่จะเปลี่ยน แม้จะมีบางครั้งที่คุณทำผิดพลาดแต่อย่างน้อยคุณก็จะได้เรียนรู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ ซึ่งนักธุรกิจค้าส่งหลายคนเคยผ่านขั้นตอนเหล่านี้มาแล้วจนกระทั่งพวกเขานำมาปรับปรุงแก้ไขอันนำมาซึ่งความสำเร็จในที่สุด

     5. มอบความซื่อสัตย์และมั่นใจให้กับลูกค้า แม้ว่าการจะทำให้ลูกค้าเชื่อใจและมั่นใจในสินค้าอาจจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานานสักหน่อย แต่หากผู้ค้าส่งรายใดสามารถสอบผ่านคุณสมบัติข้อนี้ได้ ลูกค้าของคุณก็จะให้ของขวัญตอบแทนเป็นความซื่อสัตย์ และมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลไปใช้บริการของคนอื่น ที่สำคัญความซื่อสัตย์และจริงใจที่คุณให้กับลูกค้าจะเป็นเครื่องรับประกันถึงความสำเร็จอันยั่งยืนตลอดไปของคุณ

4 ข้อคิดเลือกซื้อเสื้อผ้าเด็กให้ลูกวัย 1-3 ขวบ



1. เลือกเสื้อผ้าเด็กที่สามารถใส่ได้หลากหลายโอกาส

เสื้อผ้าเด็กบางชุดนั้น ถูกออกแบบมาด้วยแฟชั่นที่เหมาะกับการพาออกงาน เช่น เสื้อสูท ชุดราตรี ชุดนางฟ้า ฯลฯ ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่ที่จะซื้อชุดแนวนี้ให้ลูก ต้องจำให้ขึ้นใจว่า เด็กในวัยนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายมาก มีการยืด ขยาย ร่างกายได้รวดเร็ว ดังนั้นหากมั่นใจว่าเสื้อผ้าที่ซื้อไปนั้น เราสามารถให้ลูกใส่ได้ทุกโอกาส ทั้งใส่ลำลองอยู่บ้าน หรือออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านในวันธรรมดา หรือจะออกไปงานกับพ่อแม่ก็ได้เช่นกัน แบบนี้ก็จะคุ้มค่ากว่าที่จะซื้อชุดที่ดูหรูหรา แต่ใส่เดินเล่นนอกบ้านแล้วดูแปลกๆ หรือถ้าใครจะให้ลูกใส่ชุดสูท ทักสิโด หรือชุดนางฟ้าไปเดินเล่นสนามหน้าบ้านทุกวัน หรือสัปดาห์ละครั้งได้ อันนี้ก็โอเคค่ะ ไม่ว่ากัน แต่หลายครอบครัวไม่เป็นอย่างนั้น เพราะบางครั้งจะให้ลูกใส่เสื้อผ้าเด็กชุดหล่อๆ สวยๆ อยู่บ้านเฉยๆ ก็ไม่กล้า สุดท้ายลูกโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ชุดหล่อชุดสวยที่เคยซื้อไว้ ลูกใส่ได้แค่ไม่กี่ครั้งก็ต้องยกให้ลูกคนอื่น

ในทางกลับกัน หากคุณพ่อคุณแม่ที่เลือกเสื้อผ้าแนวกลางๆ สามารถนำมาสับเปลี่ยนกับชุดอื่นๆ ได้ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของเสื้อผ้า แบบนี้ก็จะทำให้คุ้มค่าและสามารถจับเจ้าตัวเล็กมาแต่งตัวได้หลายแนว หล่อ เท่ห์ ได้ทุกวัน คุ้มค่ากับค่าเสื้อผ้าแน่นอนค่ะ

2. เลือกผ้าฝ้าย (Cotton) เป็นผ้าหลักของเสื้อผ้าเด็ก
เมืองไทยเป็นเมืองร้อน เสื้อผ้าเด็กส่วนใหญ่จะทำมาจากผ้าฝ้าย (Cotton) อยู่แล้ว แต่เสื้อผ้าเด็กบางชนิดก็ทำมาจากผ้าฝ้ายผสมบ้าง ผ้าอื่นที่ไม่ใช่ผ้าฝ้ายบ้าง เหตุที่แนะนำให้ใช้ผ้าฝ้ายนั้น เนื่องจากว่า เด็กในช่วงอายุ 1-3 ขวบนั้นเขามักจะไม่ชอบอยู่เฉย รักการเล่น ยิ่งวิ่งไปวิ่งมา เหงื่อเต็มตัว แถมยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ระมัดระวังเรื่องความสกปรกต่างๆ อาจจะทำให้เสื้อผ้าเด็กชุดเก่งของเขาเปื้อนเอาง่ายๆ ซึ่งผ้าฝ้ายเมื่อนำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าเด็กแล้วจะมีคุณสมบัติในการระบายความร้อน และทนทานต่อการซัก (หนักๆ) ได้ดี ปัญหาเรื่องเสื้อหด เสื้อผ้าย้วยเสียทรงไม่ค่อยเกิดขึ้นกับเสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้าฝ้าย

การระบายความร้อนเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเสื้อผ้าเด็ก โดยเฉพาะในประเทศไทย อากาศกลางวันจะร้อนมาก และยิ่งมีฝนตกด้วย การตากผ้าวันฝนตกถือเป็นเรื่องกลุ้มใจของพ่อแม่เลยทีเดียว หากเสื้อผ้าไม่สามารถระบายความร้อนระบายเหงื่อได้ดี และยังแห้งช้า จะเกิดปัญหาผ้าเหม็นอับ หรือเสื้อผ้ามีกลิ่น ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพของลูกเลยค่ะ

3. อย่ายึดติดกับแบรนด์เนมในเสื้อผ้าเด็ก
แน่นอนว่าเสื้อผ้าที่มีแบรนด์เนม พ่อแม่หลายคนอาจจะเชื่อว่ามันน่าจะมีคุณภาพดีกว่า ทนทานกว่า โดยอาจจะคิดอ้างอิงจากเสื้อผ้าของผู้ใหญ่ที่เสื้อผ้าแบรนด์เนมมักจะมีคุณภาพความคงทนได้นานกว่าเสื้อผ้าตามตลาดนัดทั่วไป แต่เนื่องจากว่าเสื้อผ้าแบรนด์เนมนั้นโดยเฉพาะเสื้อผ้าเด็กจะมีราคาสูงมาก บางครั้งซื้อเสื้อเด็ก 1 ตัวของแบรนด์เนมในห้าง สามารถซื้อเสื้อผ้าเด็กตามร้านข้างนอกที่ใช้เนื้อผ้าดีๆ ได้ 2-3 ตัวเลยทีเดียว

เนื่องจากเด็กจะมีการขยายตัวเร็วกว่าผู้ใหญ่ การทุ่มทุนซื้อเสื้อผ้าเด็กที่เป็นแบรนด์เนมตัวนึงหลายร้อย หรือหลักพันบาทต่อชิ้นนั้น ดูจะเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยเหมาะเท่าไร เพราะใส่ได้ไม่กี่ครั้งก็โตจนใส่ไม่ได้ ยิ่งถ้าเป็นชุดแฟชั่นออกงานด้วยยิ่งนานๆ ใส่ที เผลอๆ ซื้อมาได้ใส่จริงไม่ถึง 10 ครั้งก็โตจนใส่เสื้อผ้าไม่ได้แล้ว

ดังนั้นควรจะให้ความสำคัญด้านเนื้อผ้าเป็นอันดับแรก ลำดับต่อมาคือลักษณะการตัดเย็บ และสุดท้ายคือแบบของเสื้อผ้า ส่วนจะมียี่ห้อดังหรือไม่นั้น อันนี้ก็แล้วแต่ความเหมาะสมกับฐานะเงินในกระเป๋าของคุณพ่อคุณแม่นะค่ะ

4. แต่งหล่อ แต่งสวย ให้ลูกตอนอยู่บ้านบ้างก็ได้
กรณีที่พ่อแม่หลายคนเก็บเสื้อผ้าเด็กชุดหล่อชุดเก่งให้ลูกไว้ แต่ลืมหรือไม่เคยคิดจะให้ลูกแต่งหล่อแต่งสวยเวลาอยู่บ้านเฉยๆ ก็อาจจะพลาดโอกาสดีๆ ไปนะค่ะ เพราะความจริงแล้วคุณสามารถให้เจ้าตัวเล็กดูหล่อ เท่ห์ สวย แม้จะเป็นวันธรรมดาที่นอนเล่นอยู่บ้านก็ได้ หากสังเกตดูในแต่ละปีนั้นโอกาสที่เราจะพาเจ้าตัวเล็กออกงานจริงๆ นั้นคงมีน้อยมาก

หากอยากได้ความคุ้มค่ากับเสื้อผ้าที่เสียไปแล้ว ก็ควรให้ลูกได้หล่อ ได้สวย แม้วันที่อยู่บ้านบ้างก็ไม่เป็นไร ลูกอาจจะซน เล่น ทำเสื้อผ้าเลอะบ้าง ก็อย่างเพิ่งดุหรือโกรธเขา คิดง่ายๆ ว่าเสื้อผ้าเด็กที่ซื้อมาแล้ว ถ้าเราไม่ให้เขาใส่ ก็คงไม่มีใครได้ใส่ (ยกเว้นจะเก็บส่งต่อเป็นมรกดให้น้อง) ไม่เหมือนเสื้อผ้าผู้ใหญ่ที่ถึงแม้เราจะไม่ใส่ในช่วงนี้ แต่ก็ยังมีโอกาสได้ใส่ออกงานสังคมมากกว่าลูกแน่นอน

สตรีมีครรภ์ กับ 6 ประเภทการออกกำลังกาย ง่าย ๆ



ความเชื่อผิดๆ ที่ว่าสตรีมีครรภ์ไม่ควรออกกำลังกาย แต่แท้จริงแล้วการออกกำลังกายนับว่าเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ที่ช่วยให้สตรีมีครรภ์สามารถคลอดบุตรได้ง่าย อีกทั้งยังช่วยลดภาวะโรคแทรกซ้อนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ได้อีกด้วย
ถึงแม้สตรีมีครรภ์จะสามารถออกกำลังกายได้ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถทำท่าพิสดารผาดโผนได้เหมือนตอนยังสาวๆ โดยควรเลือกเป็นกีฬาหรือท่าทางที่สามารถออกแรงได้พอเหมาะ ไม่หักโหมจนเกินไป และท่าทางต่างๆ ไม่ควรเป็นท่าที่ใช้แรงยึด กระโดด บิด ฯลฯ ที่มากจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติต่อคุณแม่และลูกน้อยได้ อีกทั้งสถานที่ควรเลือกเป็นที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้อย่างทั่วถึง ซึ่งครั้งนี้เรามีการออกกำลังกาย 6 ประเภทที่เหมาะกับสตรีมีครรภ์มาฝาก
เดิน สามารถออกกำลังกายได้ทุกช่วงอายุครรภ์ซึ่งถือเป็นวิธีที่เรียบง่ายและเหมาะสำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มากที่สุด โดยการเดินที่ถูกต้องควรเริ่มจากเดินในระยะทางที่สั้นๆ แล้วจึงค่อยเพิ่มระยะทางไปเรื่อยๆ ควรก้าวเท้ายาวๆ หลังตรง และเงยหน้าขึ้นตลอดเวลาทั้งนี้เลือกช่วงเวลาเช้าๆ ได้ยิ่งส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์
ออกกำลังกายแขน สามารถออกกำลังกายได้ทุกช่วงอายุครรภ์ โดยมีอุปกรณ์เสริม คือ ดัมเบลอันเล็กๆ ที่มีน้ำหนักเบาที่สุด และหลีกเลี่ยงดัมเบลที่มีน้ำหนักเกินตัว ซึ่งการยกดัมเบลจะช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับและแข็งแรงขึ้น
แอโรบิก คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 3-7 เดือน ควรเลือกใช้เพลงประกอบการเต้นจังหวะที่ไม่เร็วจนเกินไป และไม่ใช้ท่าที่ลงจังหวะวางแรงๆ มากจนเกินไป เพราะอาจทำให้กระทบบริเวณท้องจนกระเทือนไปยังลูกน้อยในครรภ์
ปั่นจักรยาน คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 3-7 เดือน การปั่นจักรยาน ในที่นี้หมายถึงในฟิตเนสหรือปั่นจักรยานกลางอากาศเท่านั้น เพราะหากเป็นการปั่นจักรยานที่ปั่นตามท้องถนนจะเสี่ยงต่อการกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์ได้
โยคะ คุณแม่ที่เริ่มมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ควรใช้โยคะท่านั่งและยืนเป็นหลัก เริ่มทำจากการยืดกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกายให้มี ความยืดหยุ่น ซึ่งการเคลื่อนไหวในแต่ละท่วงท่าควรอยู่ในระดับช้า และใช้การหายใจเข้า-ออกเป็นตัวกำหนดจังหวะ ส่วนท่าไหนที่รู้สึกว่าเริ่มเกร็งไปถึงหน้าท้องให้หลีกเลี่ยงไว้ก่อนได้ยิ่งดี
ว่ายน้ำ คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 4-8 เดือนแล้ว ก่อนลงสระว่ายน้ำ ควรวอร์มร่างกายเพื่อป้องกันการเกิดตะคริว เริ่มจากเดินช้าๆ ในสระว่ายน้ำ ซึ่งวิธีนี้คุณแม่อาจใช้แรงต้านทานมากกว่าปกติ แต่เมื่อเราอยู่ในน้ำจะไม่ส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์เหมือนการเดินบนพื้นปกติทั่วไป อีกทั้งการอยู่ในน้ำยังช่วยส่งเสริมให้ลูกน้อยมีอิสระในการเคลื่อนไหวมากขึ้นอีกด้วย